บทความก่อนหน้านี้จะเป็นการให้ข้อมูล และเน้นถึงความสำคัญของการ ตรวจบ้าน ตรวจคอนโด ซึ่งเป็นกระบวนการก่อนรับโอนบ้าน รับโอนคอนโด ในบทความนี้จะมาพูดถึงขั้นตอนหลังการตรวจบ้าน หรือตรวจคอนโดกันบ้าง เป็นเรื่องของวิธีการคำนวณและวิธีเลือก ขนาดแอร์ ให้เหมาะสมกับแต่ละห้อง ความสำคัญของการเลือกขนาดแอร์ที่ถูกต้องจะช่วยให้อากาศในห้องเย็นสบาย ประหยัดไฟ และช่วยให้แอร์ทำงานไม่หนัก ไม่พังง่าย
เครื่องปรับอากาศ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า แอร์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพของอากาศภายในอาคาร ทำให้เย็นสบาย เหมาะแก่การอยู่อาศัยหรือทำงาน
ขนาดแอร์ มีผลอย่างมากต่อความเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนตลอดทั้งปี จำเป็นต้องเปิดแอร์ไม่เว้นแม้แต่ในฤดูหนาว
ก่อนที่เราจะแนะนำวิธีเลือก ขนาดแอร์ เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่าแอร์มีกี่ประเภท
แอร์ติดผนัง (Wall Type Air Conditioner) เป็นเครื่องปรับอากาศแบบหนึ่งที่ติดตั้งบนผนังภายในห้อง นิยมใช้มากที่สุดในบ้านเรือน อาคารสำนักงาน และสถานที่อื่นๆ
ลักษณะของแอร์ติดผนัง
ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ คอยล์เย็นติดตั้งภายในห้อง และคอยล์ร้อนติดตั้งภายนอก มีหลายขนาดให้เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับขนาดห้อง มีทั้งแบบ Inverter และ Non-Inverter มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย เช่น ระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ ตั้งเวลาเปิดปิด ระบบกรองอากาศ
แอร์แขวนเพดาน คือ แอร์ที่คล้ายกับแอร์ติดผนัง แต่จะเปลี่ยนจากการติดผนังเป็นติดกับฝ้าเพดาน แต่จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าแอร์ติดผนัง เพื่อให้กระจายความเย็นได้ทั่วถึง เหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่
แอร์ตั้งพื้น คือ แอร์ที่มีลักษณะคล้ายแอร์ติดผนัง แต่จะติดตั้งบนพื้นในแนวตั้ง เหมาะสำหรับห้องขนาดเล็ก แต่จะมีข้อแตกต่างจากแอร์ 2 ประเภทข้างต้น ตรงที่แอร์จะไม่พัดมาโดน หรือสัมผัสร่างกายโดยตรง และทำความสะอาดได้ง่าย
ลักษณะของแอร์ตั้งพื้น
มีขนาดใหญ่ สูงประมาณ 165-180 เซนติเมตร ช่องเป่าลมอยู่ด้านบนของตัวเครื่อง มีรีโมทควบคุมสำหรับปรับอุณหภูมิและฟังก์ชั่นต่างๆ มีล้อสำหรับเคลื่อนย้าย
มีหลายรุ่น หลายขนาด หลายราคา
แอร์แขวนเพดาน หรือ แอร์ฝังฝ้า (Cassette Type Air Conditioner) เป็นเครื่องปรับอากาศแบบติดตั้งบนฝ้าเพดาน เหมาะสำหรับห้องที่มีฝ้าเพดานสูง ช่วยประหยัดพื้นที่ภายในห้อง เหมาะกับห้องขนาดใหญ่ เช่น ห้องประชุม ร้านอาหาร
ลักษณะเด่นของแอร์ฝังฝ้าเพดาน
ดีไซน์สวยงาม กลมกลืนกับฝ้าเพดาน ประหยัดพื้นที่ เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่จำกัด กระจายลมเย็นได้ทั่วถึง ด้วยระบบกระจายลม 4 ทิศทาง เสียงรบกวนต่ำ เหมาะกับห้องที่ต้องการความเงียบสงบ มีระบบกรองอากาศ ช่วยให้หายใจสะอาด มีรีโมทควบคุม สะดวกต่อการใช้งาน
พูดถึงประเภทของแอร์ไปแล้ว คำศัพท์ที่ใช้เรียกขนาดแอร์คือ BTU หรือย่อมาจาก British Thermal Unit เป็นหน่วยวัดพลังงานความร้อนตามมาตรฐานสากล โดยเมื่อนำมาใช้กับแอร์ BTU จะอธิบายถึงความสามารถในการถ่ายเทความร้อนออกจากห้องนั้นๆ ภายในเวลา 1 ชั่วโมง เช่น แอร์ขนาด 18,000 BTU หมายความว่าแอร์ สามารถไล่ความร้อนออกจากห้องได้ 18,000 BTU ในเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งความสามารถในการไล่ความร้อนแล้วแทนที่ด้วยความเย็นก็จะสูงขึ้นไปตามขนาดของ BTU
วิธีการคำนวณขนาดแอร์ มีสูตรสำเร็จในการคำนวณดังนี้
พื้นที่ห้อง (ตร.ม.) x ค่าความต่าง (cooling load) = BTU
*โดยค่าความต่าง หรือ Cooling load คือค่าความร้อนที่เกิดขึ้นภายในแต่ละห้อง โดยมีค่าประมาณอยู่ที่ 700-800 BTU/ตร.ม.*
ตัวอย่างการคำนวณ
นอกจากขนาดของแอร์แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆสามารถนำมาพิจารณาก่อนเลือกซื้อแอร์ได้ เช่น ทิศทางของแดดที่ส่องเข้าไปที่ห้องที่ต้องการติดแอร์ ในห้องมีฉนวนกันความร้อนหรือไม่ จำนวนคนที่อยู่ในห้องนั้นเป็นประจำ
การเลือกแอร์ที่เหมาะกับขนาดห้องสามารถช่วยให้คุณประหยัดพลังงานและประหยัดเงินได้ในระยะยาว ทาง S Inspector ของเราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้ข้อมูลในการตัดสินใจก่อนที่จะซื้อแอร์